3
“สวัสดียามเช้าครับหัวหน้าแผนก” ชายสองคนยืนตรงทำความเคารพชายหนุ่มผู้หนึ่งอย่างแข่งขัน
ร่างสูงในเสื้อโอเวอร์โค้ดสีดำที่ยาวจนหัวเข่าไม่ได้กล่าวอะไร ใบหน้าเกลี้ยงเกลาพยักหน้า ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อยิ้มให้เล็กน้อยพาเอาสาวน้อยใหญ่ที่อยู่รอบๆพากันหันมามองกันเป็นทิวแถว
“อะไรของยัยพวกนี้กันนะ งานการไม่มีทำรึไง” ชายหนุ่มชาวจีนที่เดินตามหลังมาบ่นพึมพำหลังจากเห็นอาการดี๊ด๊าจนเกินหน้าเกินตาของบรรดาฮันเตอร์สาว
เซบาสเตียนยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเหลา โดยส่วนตัวของชายหนุ่ม เขาเห็นเหลาเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นไกลไปจากนั้นเลย เพียงแต่ในคืนนั้นชายหนุ่มได้เผลอไผลไปกับอารมณ์ที่ไม่สมหวังของเขาเท่านั้น... ในคืนวันนั้น เขาได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง ดวงตาน้ำเงินลึกล้ำเพียงข้างเดียวตรึงเขาไว้จนไม่อาจขยับกาย เพียงน้ำเสียงราบเรียบที่เปล่งออกมาจากริมฝีบางไม่กี่คำพูด ช่วงเวลาที่พานพบกันเพียงไม่กี่อึดใจ เพียงเท่านั้น เด็กน้อยผู้นั้นก็ได้ช่วงชิงหัวใจของเขากลับไปเสียแล้ว
แต่ทว่า....
ความจริงไม่อาจหลีกหนี
เขาในตอนนั้นคือเด็กหนุ่มที่ถูกฝึกฝนเพื่อเป็นแวมไพร์ฮันเตอร์ ส่วนเด็กคนนั้น...คือแวมไพร์ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ร้างของขุนนางโบราณแห่งราชวงศ์อังกฤษเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกส่งไปที่สาขาอเมริกา...
ด้วยจิตใจที่อ่อนแอในตอนนั้น เหลาชึ่งเป็นคู่หูคนใหม่ที่ทำงานด้วยกันมาร่วม 6 เดือน ก็ได้มาสารภาพรักกับเขา... น่าประหลาด เสียงที่ฟังดูประหม่าของเหลานั้นกลับเป็นเสียงเล็กๆที่ฟังดูราบเรียบ ในหน้าที่เขินอายนั้นถูกซ้อนทับดวงหน้าที่ประดับด้วยดวงตาสีน้ำเงินกลมโต ที่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแฝงด้วยรอยยิ้มที่ดูยโสอยู่ในที
สิ่งนั้นทำให้สติของชายหนุ่มกระเจิดกระเจิง การกระทำบางสิ่งที่เข้าไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากสมองได้เริ่มขึ้นในคืนนั้น...เรื่อยมา
จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เขาไม่ได้ตั้งใจ!
“นี่ นายจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม เราต้องไปประชุมกันนะ” เสียงของเหลาปลุกสติของชายร่างสูงให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ และเมื่อหันกลับไม่มองอีกครั้ง ร่างบางก็เดินลิ่วไปจนสุดทางเดินเสียแล้ว
“มีรายงานจากหน่วยข่าวกรองที่อังกฤษรายงานมากว่า คฤหาสน์ของขุนนางที่เคยเรืองอำนาจในสมัยของราชินีวิกตอเรียของอังกฤษนั้น ได้มีการแผ่พลังงานบางอย่างออกมา และชาวบ้านที่มีอาชีพหาของป่าแถวนั้นต่างก็ล่ำลือกันว่า คฤหาสน์หลังนั้นมีอำนาจลึกลับบางอย่างแฝงอยู่” เสนาธิการวิลเลียม ที เสปียร์ เปลี่ยนท่านั่ง แล้วยกชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย มือทั้งสองข้างยกประสานไว้ด้านหน้า
ดวงตาของร่างสูงเบิกกว้าง
คฤหาสน์ขุนนางร้างของอังกฤษงั้นหรอ!
“จากเรื่องดังกล่าว ทางสภาแวมไพร์ฮันเตอร์ของอังกฤษจึงส่งฮันเตอร์ทีมหนึ่งเข้าไปสำรวจทันที น่าเสียดายที่...ไม่มีแต่คนเดียวที่กลับมา” ใบหน้าเรียบเฉยของเสนาธิการวิลเลียมเศร้าลงเล็กน้อย นิ้วเรียวขยับแว่นขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนสีหน้า
“และหัวหน้าทีมนั้น...คือหนึ่งในอดีตคู่หูของบุคคลในที่ประชุมของเราด้วย” วิลเลียมเปล่งเสียงอีกครั้ง สร้างความแตกตื่นให้กับหัวหน้าแผนกต่างๆในสภาแวมไพร์ฮันเตอร์สาขาอเมริกายิ่งนัก
แต่ใครกันล่ะที่มีอดีตคู่หูอยู่ที่อังกฤษ
“หัวหน้าแผนกเซบาสเตียน ผมเสียใจด้วยนะ หัวหน้าทีมในครั้งนั้นคือฟินนี่ อดีตคู่หูของคุณครับ” ถึงแม้จะไม่ค่อยจะลงรอยกัน แต่เซบาสเตียนก็เป็นบุคคลผู้หนึ่งที่นับว่าปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่มีที่ติและทำหน้าทีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี ข่าวนี้จึงได้สร้างความเสียใจให้เขาไม่น้อย
‘ฟินนี่...ตายแล้วงั้นหรอ’ ความคิดนี้ดังขึ้นในหัวของเซบาสเตียน ถึงแม้ว่าเขาเป็นจะศูนย์เสียลูกน้องไปจำนวนไม่น้อยในทุกครั้งที่เขาต้องปฏิบัติงาน แต่ครั้งนี้...เขาไม่อาจจะมีเวลาเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ
“เซบาสเตียน นายไม่เป็นไรใช่ไหม” ชายหนุ่มชาวจีนกระซิบที่ข้างหูของเขาเบาๆ มือเรียวของร่างบางเลื่อนมาจับมือของร่างสูงแล้วบีบเบาๆให้กำลังใจ
“อืม ฉันไม่เป็นไร” เซบาสเตียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา เวลานี้คือเวลางานของเขา นี่เป็นเพียงรายงานของการศูนย์เสียบุคคลในองค์กรเท่านั้น ดังนั้น ความรู้สึกส่วนตัวจึงควรพับเก็บใส่กระเป๋าไปเสีย
“เนื่องจากการปฏิบัติงานนั้น ได้มีลูกทีมรวมถึงหัวหน้าทีมรวมทั้งสิ้นร่วม 30 ชีวิต ทำให้บุคลากรของทางสาขาอังกฤษขาดแคลน ดังนั้น ทางนู้นจึงของความช่วยเหลือจากทางเราให้ส่งคนไปราชการเพื่อปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง” เสนาธิการซึ่งนั้นอยู่ตัวโต๊ะตัวยาวของห้องประชุมที่ตกแต่งอย่างหรูหราสูดหายใจเข้า...ยาวนาน
“ผมอยากขออาสาสมัครที่จะไปเป็นหัวหน้าทีมในการปฏิบัติงานในครั้งนี้ครับ” เสียงอึกทึกที่เกิดจากการฮือฮาที่ได้เสียฮันเตอร์ฝีมือดีจำนวนมากของสาขาอังกฤษเงียบไป หัวหน้าแผนกทั้งหลายได้แต่นั่งทำท่าทางครุ่นคิด
และสิ่งที่เสนาธิการวิลเลียมคาดการณ์ไว้ก็เป็นจริง เพราะบุคคลรับอาสาในครั้งนี้คือ...
เซบาสเตียน มิคาเอลลิส!
“การที่คู่หูเก่านายตายไปก็ใช่ว่านายจะต้องเสียใจถึงกับเอาชีวิตไปเสี่ยงกับภารกิจนั้นนะเซบาสเตียน” ร่างบางที่นั่งข้างๆเขากระซิบเพื่อให้ร่างสูงได้สติ มือบางดึงชายเสื้อโอเวอร์โค้ดสีดำมะเมื่อมเพื่อให้ชายหนุ่มนั่งลง
“ผมขออาสาสมัครในภารกิจครั้งนี้ครับ” เซบาสเตียนหันไปกล่าวกับผู้บังคับบัญชาด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ มั่นคง
“เซบาสเตียน...” เหลาเรียกสติชายหนุ่มอีกครั้ง
“วางใจได้ การที่ผมอาสาในภารกิจความนี้ไม่ใช่เพราะการเสียสละชีวิตของฟินนี่อย่างแน่นอนครับ”
ใช่!
การรับภารกิจในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาเสียใจที่ต้องศูนย์เสียอดีตคู่หูที่ดีอย่างฟินนี่ไป แต่ที่เขาต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้ก็คือ...
การที่ได้เจอกับร่างเล็กผู้มีดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำนั่นต่างหาก!
“ดีๆ การที่ได้คนที่รู้จักอังกฤษเป็นอย่างดีอย่างเซบาสเตียนมาเป็นหัวหน้าทีมในคราวนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความสบายใจให้กับลูกทีมไปได้ในระดับหนึ่งล่ะนะ” ว่าพลางผายมือให้กับชายหนุ่มให้นั่งลง
“เฮ้อ อย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” ชายหนุ่มชาวจีนพึมพำกับตนเอง
“งั้นการประชุมขอจะ...” ทันทีที่วิลเลียมเอ่ยการสิ้นสุดนั้นก็ได้มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวแซกขึ้นมา
“เสนาธิการครับ ผมของร่วมภารกิจนี้ด้วยอีกคนครับ” ท่ามกลางความแปลกใจของบุคคลในที่ประชุมร่วมทั้งร่างสูง ชายหนุ่มชาวจีนหันไปกล่าวกับเสนาธิการอย่างแน่วแน่
เสนาธิการผู้เป็นเสือยิ้มยากผู้นี้แย้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นการประชุมจึงได้สิ้นสุดลง
“เดี๋ยวเหลา...ทำไมนาย...” เซบาสเตียนคว้าแขนร่างบาง แววตาที่เคยเฉยชาฉายแววความสงสัย
“ก็...นายยิ่งทำอะไรเสี่ยงๆอยู่เรื่อย นายรู้ไหมว่าภารกิจครั้งนี้มันอันตรายแค่ไหน ถ้าฉันไม่คอยตามไปปรามนายล่ะก็ นายคงพาลูกน้องตายหมดแหง” พูดจบร่างบางก็เดินจากไปทิ้งประโยคสุดท้ายให้กับร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ก็เราเป็นคู่หูกันไม่ใช่รึไง...เซบาสเตียน”
“เซบาสเตียน นายเก็บของเสร็จรึยัง” เมื่อชายร่างสูงหันไปทางต้นเสียงก็พบกับชายหนุ่มร่างบางคนหนึ่งยืนพิงประตูห้องด้วยใบหน้าที่มักดูสบายๆ อยู่เสมอ รอยยิ้มที่มักละไมบนใบหน้าตลอดเวลาจนแทบมองไม่เห็นแก้วตาสีนิลที่มักจะเห็นว่าปิดอยู่ตลอดเวลา...ใครจะรู้บ้างว่า ถึงจะเห็นเป็นคนที่ยิ้มง่ายเช่นนี้ ในความเป็นจริงชายหนุ่มผู้นี้ก็โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“ไม่ไหวเลยน้า~ ถ้าไม่รีบล่ะก็จะไม่ทันเอานะ” ถึงจะพูดด้วยคำพูดที่เร่งร้อนแบบนั้นแต่ร่างบางกลับเดินมาอย่างเรื่องเปื่อยแล้วช่วยร่างสูงที่มักสวมเสื้อโอเวอร์โค้ดสีดำมะเมื่อมเกือบตลอดเวลาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า
“นายน่ะออกไปเลย เดี๋ยวฉันทำให้” ชายหนุ่มร่างบางดันตัวเซบาสเตียนให้ออกไปให้ห่างจากกองสัมภาระ
เซบาสเตียนยอมถอยออกไปแต่โดยดีร่างสูงยืนมองคนที่ตัวเล็กกว่าแพ็คของใส่กระเป๋าเดินทางอย่างเก้งๆกังๆ
“นี่นายจะมาช่วยฉันเก็บของรึจะมาช่วยฉันรื้อของเนี่ยเหลา” ชายหนุ่มพูดกระเซ้าร่างบางอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะสาวเท้ากลับไปจัดกระเป๋าต่อ เพราะหากให้ชายหนุ่มชาวจีนผู้นี้ทำต่อไปคงไม่ทันเที่ยวเรือเป็นแน่
“อ๊ะ นายจะเอาไอ้นี่ไปทำอะไรน่ะ” ด้วยความซนของร่างบางก็พบกับของบางสิ่งในกระเป๋าเดินทางของร่างสูงซึ่งทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
ถุงมือขาวสะอาดคู่หนึ่งกำลังถูกพินิจพิจารณาด้วยตาเรียวก่อนที่เจ้าของจะหันไปมองตาร่างสูงแทนคำถามว่า ‘นายจะพกของแบบนี้ไปทำอะไร’
“อ๋อ ถุงมืออันนี้หรอ มันติดตัวฉันมาตอนที่เสนาธิการแองเจลล่าเก็บฉันได้ในป่าน่ะ”
ใช่ซิ!! การที่เซบาสเตียนมาเป็นคนของสภาได้เพราะเธอคนนั้นเป็นผู้เก็บชายหนุ่มคนนี้มาจากป่าลึกแถบตะวันออกของประเทศอังกฤษนี่นา ในตอนนั้น....เซบาสเตียนเคยเล่าให้เขาฟังว่า ตอนที่เขาลืมตาขึ้น เขาจำได้เพียงว่าเขานอนอยู่ในโรงพยาบาลของทางสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกด้าน...ชายหนุ่มร่างสูงกำลังมองของสิ่งหนึ่งที่อาจพาเขาไปหาอดีตของเขาได้ ถุงมือคู่นี้....ถึงแม้ว่าตั้งแต่เค้าลืมตาตื่นขึ้นมานั้น เขาไม่เคยสวมมันเลยแม้แต่ครั้งเตียว แต่ทว่า...ไม่มีสักครั้งที่ของสิ่งนี้จะห่างไกลจากตัวเขา ความรู้สึกผูกพันฝังแน่นจนไม่อาจบรรยาย ราวกับว่าในอดีตนั้นเขาต้องใช้มันเสมอ ราวกับว่า...มันเป็นส่วนหนึ่งกับเขา
“เอ๋? ปรกตินายชอบสีดำไม่ใช่หรอ” เสียงของเหลาปลุกเซบาสเตียนให้ตื่นจากภวังค์
ใช่! เซบาสเตียนชอบสีดำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับตัวเขา มันจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด
“ไม่รู้ซิ สมัยก่อนฉันอาจจะชอบสีขาวก็ได้มั้ง” ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก มือเรียวคว้าถุงมือคู่นั้นจากร่างบางแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อโอเวอร์โค้ดตัวยาวของเขา
“ฉันว่าเราไปกันได้แล้วล่ะ ถ้าช้าว่านี้อีกนิดเราคงได้ถึงอังกฤษในอีก 3 เดือนข้างหน้าแน่ๆ” กระเป๋าเดินทางถูกปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มละลายโลกที่ปรากฏบนใบหน้าคม
ชายหนุ่มทั้งสองขนสมภาระทั้งหมดออกไปโดยเซบาสเตียนถือของหนักซะส่วนใหญ่โดยที่ร่างบางถือเพียงเป้น้ำหนักเบาเพียง 2-3 ใบเท่านั้น
ร่างสูงเดินออกไปแล้ว
แต่ทว่า
ร่างบางยังคงหยุดยืนอยู่ที่ประตูทางออกของสถานที่ที่เป็นทั้ง ‘บ้าน’ และ ‘ที่ทำงาน’ เป็นครั้งสุดท้าย ร่างบางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามเก็บภาพเหล่านี้ไว้ให้มากที่สุด ในใจของชายหนุ่มมีบางอย่างที่กำลังร่ำร้องว่า...อย่าไป ราวกับว่า หากก้าวพ้นผ่านประตูบานนี้ไปแล้วจะไม่โอกาสกลับมาเป็นครั้งที่สอง
เมื่อคิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วและเซบาสเตียนก็คงจะรอเขาอยู่ ร่างบางจึงละทิ้งความรู้สึกไว้เบื้องหลังแล้วเดินตามร่างสูงที่นำหน้าไปไกลลิบแล้ว
ไม่ซิ เราต้องกลับมา
ต้องได้กลับมาแน่ๆ
เพราะเราจะไม่ยอมเอาชีวิตของเรา...เซบาสเตียน...และลูกน้องไปทิ้งในปราสาทคร่ำครึอย่างนั้นเด็ดขาด!
ไม่มีวัน!!!
To be next night…